เมื่อพูดถึงอุปกรณ์ที่เราจำเป็นต้องใช้งานอย่างที่สุดโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้งานออกมามีคุณภาพ หนึ่งในนั้นที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือ “pressure gauge” หรือเกจวัดแรงดัน ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่าสิ่งนี้มีความจำเป็นอย่างไรบ้าง และเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง เรามีข้อมูลมาให้ทุก ๆ คนได้ร่วมศึกษาไปพร้อมกัน
Pressure gauge หรือเกจวัดความดันเป็นอุปกรณ์ที่ควรต้องมีใช้ในงานอุตสาหกรรม รวมถึงงานประปา ก๊าซ หรือของเหลวต่าง ๆ ที่ต้องใช้วัดค่าตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้เรานั้นไม่ต้องมาเดินดูอยู่ตลอดเวลา สามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ และงานที่ใช้เครื่องนี้ช่วยก็ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลักษณะของเครื่องจะเป็นทรงกลม และมีเข็ม มีตัวเลขล้อมรอบ (เหมือนนาฬิกา) ทั้งนี้ หน้าปัดมีขนาดแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 1-1/2 นิ้ว, 2 นิ้ว 2-1/2 นิ้ว, 3 นิ้ว 3-1/2 นิ้ว, 4 นิ้ว ไปถึงขนาดหน้าปัดสูงสุด 6 นิ้ว โดยที่เข็มจะวัดค่าตามที่เครื่องกำลังทำงาน ปกติแล้วมีให้เราเลือกหลัก ๆ 2 แบบด้วยกัน คือ
1. เกจวัดแรงดันดิจิทัล
จะมีราคาที่สูงกว่าแบบอนาล็อค แต่ข้อดีคือค่อนข้างแม่นยำมาก ๆ เหมาะกับการนำไปใช้งานวัดความดันที่ต้องการความละเอียดขั้นสูง มีหลายรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อผ่านคอมพิวเตอร์พร้อมสั่งงานทางไกลได้ไม่มีปัญหา
2. pressure gauge แบบอนาล็อค
แบบอนาล็อคหรือแบบมีเข็ม ราคาจะถูกและไม่ต้องดูแลรักษาอะไรมาก ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 ประเภท คือ แบบปกติที่จะไม่มีน้ำมันมาช่วย ราคาถูก แต่ก็จะทนต่อการสั่นสะเทือนน้อยมาก และแบบที่มีน้ำมัน ราคาสูงกว่า แต่ก็ทนทานมากกว่า และด้วยน้ำมันจึงทำให้ทนต่อการใช้งานที่มีแรงสั่นสะเทือน เพราะเข็มจะไม่หัก
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งประเภทตามลักษณะการใช้งานด้วย โดยหลัก ๆ จะได้ทั้งสิ้น 3 ประเภท คือ ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก, ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ และในตัวเดียวกันสามารถวัดแรงดันได้ทั้งค่าบวกและลบเดียวกัน ซึ่งเราควรเลือก pressure gauge ให้เหมาะกับการใช้งานด้วย เช่น จะใช้วัดน้ำมันก็ควรเลือกช่วงวัดสูง หรือจะใช้วัดลม วัดน้ำก็ควรใช้ย่านต่ำดีกว่า ส่วนใครตะใช้วัดสารกัดกร่อนก็ควรเลือกที่ตัวเรือนทำมาจากวัสดุที่แข็งแรง ทนทานง่าย
